ยาเม็ดคุมกำเนิด

กินยาคุมกำเนิดให้ถูกวิธี... เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

            ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral contraceptive pill) คือ ยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง คือฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ โดยยับยั้งการตกไข่เปลี่ยนแปลง เยื่อบุโพรงมดลูกให้มีสภาพไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเป็นด่างเหนียวข้นขึ้น ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ รวมทั้งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางไปที่มดลูก

ยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นแบ่งออกได้เป็นฮอร์โมน 2 ประเภท 

ยาฮอร์โมนรวม

ในแผงยาจะบรรจุยาที่มีฮอร์โมนและยาที่ไม่มีฮอร์โมนหรือยาหลอก

1.ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบทั่วไป

   • ยาคุมแบบแผง 28 เม็ด ประกอบไปด้วยยาจริง 21 เม็ดและยาหลอก 7 เม็ด หรือยา 24 เม็ด ยาหลอก 4 เม็ดช่วงที่รับประทานยาหลอกมักมีเลือดคล้ายประจำเดือนออกมา หากยาหมดแผงให้เริ่มแผงใหม่ได้ทันที

   • ยาคุมแบบแผง 21 เม็ด ประกอบไปด้วยยาจริง 21 เม็ดและเว้นการรับประทานยาไป 7 วัน ซึ่งระหว่างนั้นมักมีเลือดออก จากนั้นจึงเริ่มรับประทานยาอีกครั้งในวันที่ 29  

2.ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว

   • แบบยาจริง 28 เม็ด ซึ่งต้องรับประทานทุกวันในเวลาเดียวกัน ห่างกันได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง

   • แบบยาจริง 24 เม็ด และยาหลอก 4 เม็ด

ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด

   • ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงที่ราว 93% เมื่อรับประทานเป็นประจำทุกวัน แต่ถ้าหากลืมรับประทานยา ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะลดลง สำหรับยาคุมฉุกเฉิน ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดเพียง 60-80% ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำหรือใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดหลัก

การทำงานของยาเม็ดคุมกำเนิด

   • ระงับไม่ให้ไข่สุกหรือขัดขวางไม่ให้มีการตกไข่

   • เพิ่มความเหนียวข้นให้กับเมือกบริเวณปากมดลูก เพื่อให้อสุจิเข้าไปปฏิสนธิได้ยากขึ้น

   • ทำให้ผนังมดลูกบางลง ไม่พร้อมให้ไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัว

วิธีรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

อาจเริ่มรับประทานภายใน 3-5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นมีหลากหลายรูปแบบ 

1) แบบที่ให้มีประจำเดือนตามรอบเดือน ได้แก่ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด 

2) แบบรับประทานยาว ๆ เช่น 84 เม็ด หรือ 365 เม็ด (ไม่ค่อยนิยม) โดยแต่ละแบบจะบรรจุตัวยาต่างกันและมีกำหนดเวลาที่ต้องรับประทานแตกต่างกันไป จึงควรรับประทานยาให้ถูกต้องถูกเวลาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

หลังรับประทานยาคุมกำเนิดแล้ว ยาจะเริ่มออกฤทธิ์เมื่อไหร่?

   • หากเริ่มทานยาใน 3 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาแผงนั้นจะมีประสิทธิภาพคุมกำเนิดได้ในรอบนี้เลย ยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังรับประทานไปได้หนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นในสัปดาห์แรกควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

   • หากลืมรับประทานยาไป 1 วัน ควรรีบรับประทานยาโดยทันทีที่จำได้ และใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันหลังจากนั้น หากลืมรับประทานยาเป็นเวลาหลายวัน ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดควบคู่ไปกับยาอื่น ๆ ได้หรือไม่?

   • ขณะรับประทานยาคุมกำเนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทุกครั้ง เพราะยาบางชนิดอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง โดยเฉพาะยาแก้ชัก ยารักษาโรคเอดส์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ทำมาจากสมุนไพรพร้อมกับยาคุมกำเนิด

สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดระหว่างที่ให้นมบุตรได้หรือไม่?

   • หากกำลังให้นมบุตร ควรเลือกรับประทานยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว เพราะยาฮอร์โมนรวมซึ่งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบอาจส่งผลให้ปริมาณน้ำนมลดลง อย่างไรก็ตามแนะนำปรึกษาแพทย์

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

   • เมื่อเริ่มรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด อาจมีอาการข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หงุดหงิดง่าย คัดหน้าอก มีเลือดออกกระปริดกระปรอย ซึ่งอาการเหล่านี้จะดีขึ้นหรือหายได้เองหลังรับประทานยาไปแล้ว 2-3 เดือน หากอาการไม่หายไปหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนตัวยาหรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัย ผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ ลิ่มเลือดอุดตัน ก้อนเนื้อที่เต้านมหรือมะเร็งเต้านม หากใช้ยาเป็นระยะเวลานานกว่า 5-10 ปี

ประโยชน์ของยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?

   • สะดวก: รับประทานเพียงวันละ 1 เม็ด หาซื้อได้ง่าย

   • ประสิทธิภาพดี: สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 93%

   • สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ทันที: หลังจากที่หยุดรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

นอกจากนี้ยาเม็ดคุมกำเนิดยังช่วย

   • ลดสิว ลดขนดก

   • ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ประจำเดือนไม่มามาก ป้องกันโรคโลหิตจาง

   • บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนและปวดไมเกรนจากประจำเดือน

   • ลดอาการเหวี่ยงวีนก่อนมีประจำเดือน

   • รักษากลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญภายนอกโพรงมดลูก

   • ลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากใช้ต่อเนื่องหลายปี

ข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้ไม่ควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

   • ผู้ที่มีลิ่มเลือดอุดตันไม่ว่าจะที่ขาหรือปอดไม่ควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม

   • ผู้ป่วยมะเร็งมดลูกหรือมะเร็งเต้านม

   • ผู้ที่ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ดี

   • ผู้ที่สูบบุหรี่ที่อายุ > 35 ปี

   • ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ

   • ผู้ที่ปวดหัวไมเกรนรุนแรง

   • ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยยังไม่ทราบสาเหตุ

   • ผู้ป่วยโรคตับ

**ทั้งนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัว แนะนำปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

โรงพยาบาลเมดพาร์ค : https://www.medparkhospital.com/lifestyles/birth-control-pills