หัตถการทางการแพทย์ (Medical Procedures) 💉
หัตถการทางการแพทย์ หมายถึง กระบวนการที่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทำเพื่อวินิจฉัย รักษา หรือบรรเทาอาการของผู้ป่วย การรักษาผู้ป่วยโดยมีการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย เช่น การใช้เข็มเจาะน้ำจากช่องปอด การใส่สายสวนหัวใจ การฉีดยาเข้าในข้อ การสอดใส่เครื่องมือ การเจาะเลือด การผ่าตัดต่าง ๆ และการเย็บบาดแผล เป็นต้น ซึ่งจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความรู้ทางการแพทย์
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
การวินิจฉัยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ใช้การตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปี สามารถเข้ารับบริการตรวจคัดกรองได้ตามสถานพยาบาล ซึ่งจะพิจารณาร่วมกับการสอบถามประวัติสุขภาพของผู้ป่วยและครอบครัว และการตรวจร่างกาย
การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานมีหลายวิธีหลัก ๆ ที่สามารถใช้งานได้ ดังนี้
1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ : เป็นการตรวจที่ไม่ต้องงดอาหารล่วงหน้า และใช้เมื่อผู้ป่วยมีอาการเบาหวานชัดเจน หากพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป ก็ถือว่าผู้ป่วยมีภาวะเบาหวานแล้ว
2. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง : ผู้ป่วยต้องงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนตรวจ หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป แสดงว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน
3. การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) : เป็นการตรวจเพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถ้าค่า HbA1c สูงกว่า 6.5% จาก 10% ถือว่ามีภาวะเบาหวาน
4. การทดสอบการตอบสนองของอินซูลิน (OGTT) : การตรวจนี้จะวัดระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังจากดื่มสารละลายน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม หากพบว่าระดับน้ำตาลเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน
หากผู้ป่วยไม่มีอาการชัดเจน การตรวจซ้ำด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจะช่วยยืนยันผลการวินิจฉัย ทั้งนี้ การตรวจเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการวินิจฉัยเบาหวานประเภท 1 และ 2 แต่การตรวจโรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์จะมีเกณฑ์ที่ต่างออกไป
การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง(Hypertension)
การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงปัจจุบันสามารถใช้เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิทัลตรวจได้ทั้งที่บ้านและในสถานพยาบาล เพราะสะดวกและใช้งานง่าย
เมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และตรวจร่างกายร่วมกับการวัดค่าความดันโลหิต เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุ และแพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอัลตราซาวด์ไต หรือการตรวจหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้า (ECG) หรือคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiography)
ค่าความดันโลหิตแบ่งเป็นสองค่า ได้แก่
- ความดันซิสโตลิก (Systolic) : ความดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัว
- ความดันไดแอสโทลิก (Diastolic) : ความดันในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจคลายตัว
การวัดค่าความดันจำเป็นต้องตรวจซ้ำหลายครั้งเพื่อยืนยัน หากค่าความดันเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท จะจัดว่าเป็นภาวะความดันโลหิตสูงตามเกณฑ์สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ระดับเหมาะสม วัดค่าได้น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท
ระดับปกติ วัดค่าได้ 120–129/80–84 มิลลิเมตรปรอท
ระดับค่อนข้างสูง วัดค่าได้ 130–139/85–89 มิลลิเมตรปรอท
ระดับความดันโลหิตสูงระดับหนึ่ง วัดค่าได้ 140–149/90–99 มิลลิเมตรปรอท
ระดับความดันโลหิตสูงระดับสอง วัดค่าได้ 160–179/100–109 มิลลิเมตรปรอท
ระดับความดันโลหิตสูงระดับสาม วัดค่าได้มากกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท
การเย็บปิดบาดแผล
เมื่อเกิดบาดแผล แพทย์อาจพิจารณาใช้การเย็บเพื่อปิดแผล โดยจะใช้ไหมหรือด้ายเย็บบริเวณที่ฉีกขาด เพื่อให้แผลปิดสนิทและไม่เปิดออกก่อนที่แผลจะหายดี วัสดุที่ใช้เย็บมีหลายชนิด เช่น ไนลอน ไหมธรรมดา และไหมละลาย ซึ่งไหมละลายจะถูกดูดซึมโดยเอนไซม์ในร่างกาย และมักใช้ในบริเวณที่มีความอ่อนไหว เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก หรือแผลภายในช่องปาก
🪡 การตัดไหม
โดยทั่วไปจะตัดไหมออกได้เมื่อครบ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดบาดแผล หากเป็นแผลที่บริเวณใบหน้า แพทย์อาจตัดไหมภายใน 5 วัน เนื่องจากบริเวณนี้มีการไหลเวียนของเลือดดีทำให้แผลหายเร็ว
🪡 วัสดุที่ใช้ในการเย็บแผล
ไหมธรรมดา (Nylon/Polypropylene) : ใช้สำหรับแผลภายนอกที่ต้องการการตัดไหมหลังแผลหาย
ไหมละลาย : สามารถสลายตัวได้เองโดยเอนไซม์ในร่างกาย นิยมใช้ในบริเวณที่ไม่สะดวกในการตัดไหม เช่น ภายในช่องปากหรือใบหน้า
🪡 เวลาที่เหมาะสมในการตัดไหม
ส่วนใหญ่จะตัดไหมได้หลังจากเย็บ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของบาดแผลและความรุนแรง เช่น แผลที่ใบหน้าอาจใช้เวลาน้อยกว่าเพราะเลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
สำหรับแผลบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น หัวเข่า อาจต้องใช้เวลานานกว่าในการหาย
🪡 ขั้นตอนการตัดไหม
แพทย์จะใช้แหนบหนีบปมของไหมขึ้นจากผิวหนัง
ใช้กรรไกรตัดไหมและค่อย ๆ ดึงไหมออก อาจมีความรู้สึกเสียดสีบ้าง แต่ไม่ควรเจ็บมาก
ทำความสะอาดแผลและอาจปิดแผลด้วยเทปหรือผ้าพันแผล
🪡 การดูแลแผลหลังตัดไหม
รักษาแผลให้แห้งและสะอาด หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสัมผัสน้ำหรือสิ่งสกปรก
ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยแผลเป็นที่เข้มขึ้นหากแผลอยู่ในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด
ตรวจสอบแผลเป็นประจำว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น แผลแยก มีเลือดออก มีหนอง หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
⚠️ อาการอันตรายที่ควรพบแพทย์ทันที
แผลแยกออกจากกัน
รู้สึกเจ็บมากขึ้นบริเวณแผล
แผลมีอาการบวม แดง หรือมีกลิ่นเหม็น
การตัดไหมควรทำโดยแพทย์เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ การดูแลแผลที่ดีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดการเกิดรอยแผลเป็น
อ้างอิง : โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์